ค่าเงินดอลลาร์ USD ที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับค่าเงินอื่น กดดันราคา พลังงาน และน้ำมัน


 Advertisement
           "บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดในวันที่ 22 ก.ค. 2558 พบว่าน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับลดลง 1.67 ดอลลาร์ ปิด ณ ราคา 49.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนับเป็นช่วงนี้สองของปีนี้ ที่ ราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อีกครั้ง"  หลังจากพึ่ง ฟื้นตัวได้พักใหญ่ภายหลังเกิดวิกฤตราคาน้ำมันจากการที่กลุ่ม OPEC  มีมติไม่ลดกำลังการผลิตหลังเกิดปัญหา อุปทานล้น เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างรวดเร็ว (ที่มา:บางกอกโพส)

oil Price drop


            ทั้งนี้ประเทศสมาชิกโอเปก ยังได้แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบนี้ อาจเป็นเพียงการปรับตัวลดลงมาในระยะเวลาอันสั้นๆ เท่านั้น และในไม่ช้าความต้องการน้ำมันจะฟื้นตัวอีกครั้ง ทั้งนี้ราคาน่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก อีกทั้งยังให้ความเห็นว่า ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงในขณะนี้ยังไม่กระทบต่อกระบวนการการผลิตและต้นทุนการผลิตน้ำมันดิบ และยังไม่มีผลกระทบต่อตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศสมาชิก และเช่นเคย กลุ่ม OPEC จะไม่มีการแทรกแทรงราคาน้ำมันโดยการลดกำลังการผลิตน้ำมันลงเป็นแน่ และไม่มีนโยบายในการทำเช่นนั้นแน่นอนเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มเอาไว้ นโยบายนี้คงไว้ จนกว่าจะมีกระประชุมกลุ่มผู้ค้าน้ำมันในครั้งต่อไปช่วงปลายปี ราวต้นเดือน ธันวาคม

โอเปก ราคาน้ำมัน
            "ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของโลกที่อยู่ในภาวะซบเซาและ เปราะบางก็ได้ส่งผลให้ ค่าเงิน Forex ทั่วโลกอยู่ในสภาวะปั่นป่วน" โดยแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มแข็งค่าเป็นพิเศษ หลังจาก ยุโรป กำลังเผชิญวิกฤตกรีซ ที่ไม่อาจชำระหนี้ที่ติดค้างแต่ ประเทศเจ้าหนี้ได้ ทำให้ค่าเงิน EUR อ่อนตัวลง และ USD แข็งค่าขึ้นเนื่องจากถูกคาดหวังว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีความมั่นคงปลอดภัยกว่าในเวลานี้ ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย  (Safe Haven)

‘กองทุนการออมแห่งชาติ’ ความหวังหลังวัยเกษียณ ของ Freelance นักลงทุน และผู้ประกอบการอิสระ

'New Thai Pension Fund for retired People'


 Advertisement

            'ความมั่นคงในชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ สำหรับคนไทยส่วนหนึ่งนั้น โดยเฉพาะ ช้าราชการนั้นเองอยู่ในระบบบำเน็จบำนาญของรัฐอยู่แล้ว แต่ผู้ประกอบการอิสระ และ ลูกจ้างทั่วไป แม้กระทั่งนักลงทุน ที่ไม่ได้มีกองทุนจากองค์กรเอกชน และรัฐที่สนับสนุนด้านเงินออมนั้น ไม่มีโอกาสได้รับเงินบำเหน็จบำนาญเมื่อถึงวัยเกษียณ' ...เชื่อหรือไม่ว่า ในอนาคตอันใกล้ ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณที่ไม่ได้อยู่ในระบบบำเน็จบำนาญจะมีจำนวนถึง 30 ล้านคนทั่วประเทศหรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรไทยทั้งหมด รัฐบาลจึงเร่งดำเนินการผลักดันโครงการ กองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อดูแลคนไทยวัยเกษียณ และปลูกผังนิสัยรักการออมแก่คนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะวัยทำงาน



            สำหรับความคืบหน้าของกองทุนกองทุนการออมแห่งชาติ ( กอช.) ขณะนี้การจัดเตรียมระบบรองรับใกล้ สมบูรณ์พร้อมให้บริการแล้วในตอนนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้เปิดเผย และยังกล่าวอีกว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นผู้รับสมัครสมาชิกรายแรกของกองทุนด้วยตัวเอง ในวันที่ 18 สิงหาคม 2558



ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ : ก็คือ หาก เริ่มออมในวัย 20 เพียงเดือนละ 1,000 ในวัยเกษียณ อาจได้รับผลตอบแทนเป็นบำนาญถึงเดือนละ 7000 ทุกๆ เดือนตลอดชีวิต  ซึ่งไม่น้อยเลยทีเดียวเป็นการลงทุนที่คุ้มจริงๆ

สำหรับผู้สนใจจะสมัครได้ที่ไหน?: สมัครได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และ ธนาการเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ทุกสาขาทั่วประเทศ ที่ครอบคลุมจุดบริการถึง 3500 จุดด้วยกัน

เอกสารที่ต้องเตรียมในการสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติมีอะไรบ้าง? : บัตรประชาชน ใบเดียวเท่านั้น ก็สามารถสมัครสมาชิดกองทุนการออมฯ ได้แล้ว

ใครบ้างที่สามารถสมัครกองทุนนี้ได้? : ประชาชนไทยอายุตั้งแต่ 15-60 ปี ครอบคลุมทั้งที่ประกอบอาชีพอิสระทุกแขนง เช่น ชาวนา ชาวสวน คนขับรถบรรทุก แม่ค้า นักลงทุนรายย่อย ช่างทำผม ทนายความ สถาปนิก ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างชั่วคราว นักการเมือง นักเรียน นักศึกษา ฯลฯ โดยสมาชิกต้องไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญภาครัฐหรือภาคเอกชนหรือกองทุนตามกฎหมายอื่น ซึ่งได้รับเงินสมทบจากรัฐหรือนายจ้างอยู่แล้ว

สามารถใส่เงินสมทบในกองทุนได้ มากแค่ไหน? : กำหนดขั้นต่ำในการสมทบเงินเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ คือ 50 บาทเท่านั้น แต่เมื่อรวมกันแล้วไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี/คน โดยในการสมทบรัฐจะช่วยออกเงินสมทบให้กับผู้ออมด้วย ทั้งนี้ที่สำคัญเงินสมทบที่ใส่เข้ามานั้น จะได้รับดอกเบี้ย จากกองทุนการออมฯ อีกด้วย

การลงทุน
ภาพอธิบาย วิธีการสมทบเงิน จากภาครัฐ แก่ผู้ออมเงิน ในกองทุนการออมแห่งชาติ



***สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณแล้ว และมี อายุ 60 ปีขึ้นไป*** : ในปีแรกที่ พรบ. มีผลบังคับใช้ อนุญาตให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ และกำหนดให้ผู้สมัครที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีสิทธิออมกับกองทุนได้ 10 ปีนับจากวันที่เป็นสมาชิก ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินสมทบจากรัฐอย่างเต็มที่ เช่น หากอายุ 58 สมัครกองทุนในปีนี้ สามารถออมได้ 10 จนถึงอายุ 68 หลังจากปีแรก กองทุนการออมฯ จะรับสมาชิกเฉพาะผู้มีอายุ 15-60 ปี และให้ออมเงินจนอายุ 60 เท่านั้นครับ

ที่มา : http://news.voicetv.co.th/thailand/233829.html